ไม้เรียว…ไม้สุดท้ายของแม่
ไม้เรียว…ทำจากน้ำตา
นั่นเป็นแส้ไม้เรียวไม้สุดท้ายที่แม่ตีผม… ที่เจ็บลึกถึงหัวใจ
มีคนบอกผมว่า “พี่เซนๆต้องตั้งชื่อเรื่องก่อนนะเวลาจะพูดอะไร” ฮ่าๆ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมีบทบาทมากขนาดนี้ เวลาจะพูดอะไรเธอจะแว๊บมาในหัว ตั้งชื่อเรื่องก่อนนะ เขาจะได้รู้ว่าพูดอะไร 555+ คุยกับคอมเยอะเลยคุยกับคนไม่ค่อยรู้เรื่อง! T_T”
เกริ่น
นี่เป็นบล็อกเน่าๆเอาไว้จดๆเขียนๆเรื่องที่ผมไม่เคยลืม เรื่องที่ผมประทับใจรวมทั้งเสียใจ วันหนึ่งผมคงได้กลับมาอ่านมันอีกครั้งเพื่อคอยเตือนและยำผมในอนาคตอีกครั้งครับ เรื่องแรกที่อยากจะเขียนลงบล็อกนี้ อยากเขียนเกี่ยวกับแม่ของผมเองเป็นบทความแรกนะครับ
.
เชื่อไหมครับว่าผมจำไม้เรียวไม้สุดท้ายของชีวิตผมได้แม่นมากเลย หลังจากไม้เรียวแส้นั้นแม่ไม่เคยตีผมอีกเลย นอกจากดุด่าจนโตถึงปัจจุบันนี้ครับ ก่อนจะเล่าว่าทำไมแม่ผมตีผมครั้งนั้นครั้งสุดท้าย อยากจะพาไปรู้จักตัวตนผมในตอนนั้นก่อนฮ่าๆ เดจาวู๊ๆ โกๆๆ ตอนนั้นผมอยู่ ม.2 เป็นคนที่ชอบตกปลาตามลำห้วยมาก ด้วยความที่เราเป็นเด็กและอยากหาเลี้ยงครอบครัวให้ได้บ้าง เลยชอบไปตกปลาจับปลา ผมมีคู่ซี้ต่างวัยด้วยแหละชื่ออุ้ยบุญ ในภาษาเหนือ “คุณยาย-คุณตา” เราจะเรียกว่า “อุ้ย” เวลาจะไปตกปลาผมกับอุ้ยบุญจะนัดแนะกันก่อนเพื่อที่ต่างคนจะได้เตรียมเหยือตกปลาไว้ก่อน เหยือที่ผมชอบจะมี 2 แบบด้วยกันคือ 1.ใส้เดือน 2.มดส้ม (มดแดง) ถ้าตกปลาสนุกมันสุดยอดต้องยกให้เหยือมดแดงแต่เสียอย่างเดียวต้องเปลี่ยนเหยือบ่อยหน่อยเพราะไข่มดแดงมันอ่อนโยนเกิ้น! ส่วนใส้เดือนนี่เน้นแช่ทิ้งไว้นานๆรอปลาตัวโตๆได้กลิ่นเรียกว่าช้าแต่ชัวร์ เวลาตกปลาที่ดีที่สุดก็แล้วแต่อารมณ์ ท้องฟ้าและอากาศ คู่หู ฮ่าๆๆ อุ้ยบุญจะตกปลาเก่งมากๆ เราก็ใจร้อนปลาไม่กินเบ็ดเราก็ย้ายที่ไปเรื่อยๆ ปลานี่ก็ช่างลำเอียงเกิ้น นอกจากจะไปตกปลากับอุ้ยบุญแล้ว บางครั้งผมก็ไปเองคนเดียว วันไหนไม่ได้ปลาหรือได้ปลามาน้อยก็จะเด็ดผักกูดกลับมาด้วย ชอบกินผัดผักกูด หรือไม่ก็เอามาแกงกับปลาที่ได้ บางครั้งก็เก็บมะแคว้ง(มะเขือพวง) เอามาให้แม่ตำอร่อยม๊วก นอกจากตกปลาแล้วยังชอบจับปลามัน เวลาจับปลามันนี่เขาจะมีผ้าตาข่ายขนาดเล็กๆพอดีสำหรับคลุมก้อนหินเล็กๆที่อยู่ตามลำห้วย เพราะปลามันเป็นปลาขนาดเท่านิ้วก้อยชอบอาศัยอยู่ตามใต้ก้อนหิน วิธีจับก็คือเอาผ้าตาข่ายวางคลุมก้อนหินด้านหน้าปากทางแล้วค่อยๆเปิดก้อนหินให้ปลาพุ่งไปชนตาข่าย ด้วยตาข่ายดักที่เล็กพอดีหัวปลามัน ทำให้ปลาติดตาข่ายได้ง่ายดาย หุหุ สนุกแฮ่ะ
ยังไม่เข้าเรื่องเลยแฮ่ะเอาล่ะๆ ต่ออีกนิดด้วยความที่เราอยากหาเลี้ยงครอบครัวบ้างเลยชอบไปหาปลามาให้แม่ทำกับข้าวในมื้อเย็นบ่อยๆ แกงบ้าง ทอดบ้าง เวลาเห็นคนในครอบครัวกินข้าวกับแกงที่เราไปหามานี่ทำให้เด็กอย่างเรารู้สึกภูมิใจน้ำตาจะไหลเลยแหละ มีความสุขยิ้มซะแก้มปริ!
ในวันเสาร์วันนึงผมบอกแม่ว่าจะออกไปตกปลานะ เพราะอากาศมันร้อนผมออกจากบ้านตอนบ่ายสองกว่าๆ จุดมุ่งหมายของผมรอบนี้ไกลออกนอกหมู่บ้านซะหน่อย คิดว่าไกลออกไปหน่อยไม่น่าจะมีคนไปตกปลากันเยอะ ก็เลยไปเดินไปตามทางเรื่อยๆพอเห็นใต้ต้นไม้ใหญ่ๆเหมือนจะมีมุมที่กว้างน่าจะลึก รู้สึกได้กว่าต้องมีปลาตัวใหญ่ๆแน่ๆก็เลยนั่งตกปลาอยู่ตรงนี้ พอปลาไม่กินเหยือแล้วก็ย้ายที่ไปเรื่อยๆตามลำน้ำ โชคดีที่ลำน้ำห้วยที่นี่จะคู่ขนาดไปกับถนนถึงยังได้ยินเสียงรถวิ่งผ่านไปมาบ้าง ตอนนั้นปลาไม่ค่อยกินเหยือเลย แต่พอฟ้ายิ่งมืดลงปลาก็ยิ่งกินเบ็ด โอ๊ววว! สนุกมากเลย ผมมัวแต่สนใจปลาเลยไม่ได้ดูเวลาจนตอนนี้ทั้งลำหวยมืดสนิท เห็นเพียงแต่แสงจันทร์สองกระทบน้ำและเสียงน้ำไหลแค่นั้น มืดจนมองไม่เห็นทางเลย ปลาก็ยิ่งกินเบ็ดบ่อยขึ้น ผมตกปลาโดยใช้ความรู้สึกล้วนๆเลย เพราะมองไม่เห็นลูกตุ่มที่ถ่วงเบ็ด อาศัยถือก้านเบ็ดแล้วเพ่งความสนใจไปที่แรงดึงของปลา เวลาปลากระตุกเบ็ดผมจะตวัดเบ็ดขึ้นทันที ยิ่งปลากินเบ็ดผมก็บอกกับตัวเองว่าเดี๋ยวอีกตัวก็จะกลับแล้วใจเย็นๆเซนกอย ทำอยู่แบบนี้จะรู้สึกว่าเราควรพอ ควรจะเก็บของกลับบ้านได้แล้ว ในที่สุดผมก็กลับบ้านเดินตามถนนลาดยาง โดยมองที่ท้องฟ้า เดินตามเส้นขาวข้างถนอนกลับบ้าน ระยะทางกลับบ้านน่าจะเกือบๆ 6-7 กิโลได้ ระหว่างทางกลับก็พยายามมองเข้าไปในบ้านคนแถวนั้น เพื่อดูนาฬิกาที่แขวนในบ้านว่ากี่โมงแล้ว หมาก็เห่าตามทางกลับบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าๆ ฮ่าๆ ให้ตายเถอะพ่อแม่คงเป็นห่วงตายแน่ๆ พอถึงบ้านแค่นั้นแหละ หน้าตาแม่ไม่รับแขกเลย อย่าว่าแต่แขกเลยหน้าตาลูกผู้สืบสกุลคนเดียวอย่างผมยังไม่รับเลย เปิดประตูเข้าห้องพร้อมกับคันเบ็ดคู่ชีพ แม่พูดมาคำแรกเลย “นึกว่าตายแล้ว ทำไมไม่ตายๆซะจะได้ไม่ต้องห่วง” แม่ดุด่าผมเยอะมาก บอกว่าผมทำให้แม่เป็นห่วง ดึกแล้วทำไมไม่รู้จักกลับบ้าน รู้ไหมว่าตามลำห้วยมันมีงูมีสัตว์อัตรายแค่ไหน ไปคนเดียวเกิดเป็นอะไรไป ตายที่ลำห้วยใครจะรู้ ใครจะช่วยได้ แม่มีลูกคนเดียว นี่พ่อไปตามหา ไปถามคนทั่วหมู่บ้านยังไม่กลับมาเลย ทำไมต้องทำให้คนเป็นห่วง ตกปลาได้ไม่ได้ฟ้ามืดก็ควรจะกลับบ้านได้แล้ว ผมเองก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่ก้มหน้าและเสียใจมากที่ทำให้แม่เป็นห่วงผมได้ขนาดนี้
แล้วแม่ผมก็ใช้ให้เอามีดไปตัดกิ่งไม้ไผ่มาทำไม้เรียว กิ่งไม้ไผ่หลังบ้านยังเขียวสด ผมก็เลยใช้วิธีเอามีดเจาะลงไปกลางลำแล้วหมุนบากให้เป็นรอยล้อมรอบไม้เรียวเพื่อว่าถ้าแม่ตีผมแรงๆมันจะได้หัก ไม่งั้นผมตายแน่ๆ ตัวผมชำ้เลือดทั้งตัวแน่ๆ พอได้ไม้เรียวแล้วก็มายื่นให้แม่ สิ่งที่แม่พูดต่อก็คือ ลูกรู้ไหมว่าทำให้แม่เป็นห่วงขนาดไหน ข้าวปลาทำเสร็จแล้วไม่ได้กินกัน รอลูกกลับมา รอจนนี่จะ 5 ทุ่มแล้ว พ่อกับแม่ไม่ได้กินข้าว พ่อก็ออกไปตามหาแม่ก็ร้อนใจกลัวลูกไปตกน้ำตายที่ไหน แม่ผมพูดไปด้วยร้องไห้ไปด้วย ผมเองก็ร้องไห้แล้วขอโทษแม่บ่อยมาก สัญญาแล้วสัญญาอีกว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ผมมองขึ้นไปที่หน้าของแม่ แม่ผมเสียใจมากร้องไห้จนหน้าแดงในมือถือไม้เรียวง้างยกขึ้นจะฟาดเข้าที่หลังผม แต่แม่ไม่ได้ฟาดผมเลยซักแส้ตั้งแต่ที่เปิดประตูเข้าบ้านมา แม่ได้แต่ยกไม้ขึ้นแล้วดุด่าสอนผม แล้วแม่ก็พูดขึ้นประโยคท้ายๆว่า ลูกอยู่ ม.2 แล้วลูกโตพอที่จะดูแลตัวเองและรับผิดชอบชีวิตได้แล้ว แม่ไม่รู้ว่าจะอยู่ตีหรือสอนลูกได้ถึงเมื่อไหร่ ไม้เรียวนี้แม่ตีไปก็เท่านั้น รู้ไหมว่าลูกทำให้แม่เสียใจมากขนาดไหน เจ็บที่หัวใจมากขนาดไหนที่ลูกเป็นแบบนี้…. แล้วผมก็ขอโทษแล้วกอดแม่ผมสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว….
นั่นเป็นคำสัญญาและเป็นไม้เรียวไม้สุดท้ายที่ผมตัดให้แม่ฟาดแต่… แม่ไม่ได้ฟาดลงที่ตัวผมเลยแม้แต่ไม้เดียว รู้ไหมว่าปกติผมจะโดนทำโทษแบบนี้บ่อย ครั้งนี้แม่ไม่ได้ตีเลย แต่ผมกลับเจ็บยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เจ็บและปวดใจมากที่สุดในชีวิตเลย แม่ตีผมซะยังดีกว่า แต่ผมขอบคุณสำหรับสายตาแม่และทุกอย่างที่แม่พูดในวันนั้นทำให้ลูกจำได้ถึงวันนี้ ถ้าวันนั้นแม่ผมตีเหมือนที่เคยผมก็คงจะไม่ได้สติ ยังใช้ชีวิตซนๆเหมือนเด็กไม่คิดถึงอนาคตทั่วไป…
“รักและคิดถึงแม่เสมอ” มีคำพูดนึงที่ผมบอกกับแม่และเชื่อว่าแม่จำมันได้คือ “ผมอยู่เพื่อแม่ ชีวิตแม่ต้องอยู่เพื่อผม” (คำนี้มีที่มาที่ไปเล่าแล้วน้ำตาไหลแน่!ๆ ฮ่าๆ