SEO คืออะไร ?
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization แปลว่า การเพิ่มประสิทธิภาพให้ติดหน้าอันดับผลการค้นหาของ Google ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น Website, eCommerce, Facebook Post, YouTube ก็สามารถทำ SEO ได้หมด ไม่ได้หมายถึงเว็บไซต์อย่างเดียวอย่างที่หลายเว็บบอก ถ้าพูดถึงการทำ SEO เจ้าตลอดที่ครองการจัดอันดับ Ranking ก็คือ Google เพราะเราใช้ Google Chorme ในการค้นหาสิ่งต่างๆ มากมาย ทาง Google เองก็มีคู่มือมาให้ศึกษาว่าทำยังไงถึงจะถูกหลัก >> Google Search Central สรุป SEO คือ การทำให้เว็บติดอันดับการค้นหาหน้าแรก
ถามว่าถ้าไม่ใช้ Google จะใครบ้างที่จัดอันดับ SEO บ้างให้เรา
- Google ( กูเกิล ) – เสิร์ชเอนจิน ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก
- Baidu ( ไป่ตู้ ) – เป็นเสิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งของประเทศจีน
- Cuil ( คูล ) – เป็นเสิร์ชเอนจินน้องใหม่ สหรัฐอเมริกา
- Yandex ( ยานเดกซ์ ) – เสิร์ชเอนจิน อันดับ 1 ของรัสเซีย
ทำความเข้าใจศัพท์
- SEO (Search Engine Optimization) หมายถึง การปรับปรุงเว็บให้ติดอันดับ Ranking ในหน้าแรก
- SEM (Search Engine Marketing) หมายถึง การใช้ Google Adword โฆษณาให้ติดหน้าแรกทันทีเลย สายเปย์เงินหนัก มั่วแต่ทำ SEO รอไม่ไหว
- Search Engines “เสิร์ชเอนจิ้น” หมายถึง ระบบสืบค้นข้อมูล Online ที่ต้องใช้เว็บเบราว์เซอร์ในการเข้าถึงผลการค้นหา
- Web Browser (เว็บเบราว์เซอร์) หมายถึง เช่น Google Chrome, Safari, Microsoft Edge, Moziila Firefox
- Backlink คือ ลิ้งเว็บของเราที่อยู่กับเว็บอื่น หรือ เราไปลงโฆษณา Banner ลิ้งมาหาเว็บเรา หรือ ซื้อบทความไปลงเว็บข่าวดังๆ ต่างๆของไทย ลิ้งเหล่านั้นจะย้อนกลับมาหาเว็บของเรา จึงเรียกว่า Back Link
- Domain Authority (DA ) คือ อันดับความน่าเชื่อถือของโดเมนเรา โดยเทียบกับเว็บที่มีเนื้อหาเหมือนกับเรา ประเภทเดียวกับเรา ถ้าเว็บเราได้อันดับต้นๆ ก็มีความน่าเชื่อถือสูง
สูตรก็คือ Domain Authority = จำนวนลิงค์ / จำนวนลิงค์ + 1 (จากคะแนนเต็ม 100) - Domain Rating ( DR) คือ คะแนน Domain ของเราที่ได้จาก Backlink (จากคะแนนเต็ม 100)
- Sitemap คือ แผนผังโครงสร้างของเว็บไซต์ เพื่อที่ Bot ของ google จะได้เก็บลิ้งและความเกี่ยวข้องของหน้าเนื้อหาทั้งหมด เทียบได้กับ Organizational Chart (แผนผังโครงสร้างองค์กร) ถ้าดูก็จะรู้ว่าใครตำแหน่งอะไร สายงานใคร
- Index คือ การจัดอันดับหน้าแรก ซึ่งปกติถ้าใครเขียนเว็บหน้าแรกของเว็บจะชื่อไฟล์ index.php หรือ index.html เมื่อใช้กับ Google SEO แล้วเราจึงหมายถึงการติดอันดับหน้า 1 ของ SEO
- Long-Tail Keyword คือ การนำคำที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักมาต่อกันเป็นรูปแบบประโยคยาวขึ้น เรามักจะใช้ในลักษณะการเขียนบทความนั่นเอง ใช้เทคนิกการเล่นคำพลิกไปมา เพื่อให้มี คีย์เวิร์ดหลัก ในบทความเยอะขึ้น
- Short-Tail keywords คือ คำคีย์เวิร์ดกว้างๆ ที่มีปริมาณการค้นหาต่อเดือนใน Google สูง เช่น รับทำ SEO, SEO คืออะไร, ชุดว่ายน้ำ, หมวก, ครีมกันแดด / จะเห็นว่าไม่ได้ระบุเจาะจงลงชื่อแบรนด์หรือคำเฉพาะใดๆ เลย
- Medium-Tail keywords คือ คีย์เวิร์ดที่มีความเจาะจงมากขึ้น เช่น รับทำ SEO WordPress, SEO การตลาดยั่งยืน, ชุดว่ายน้ำลายดอก, ครีมกันแดด SP F50
- Topic Cluster คือ การสร้างคอนเทนต์หลายๆ บทความที่เกี่ยวข้องกัน แล้วเอาลิ้งไปใส่ใน คอนเทนต์หลัก (Pillar Content) จะเห็นได้ว่าเวลาเราอ่านบทความจะมีบางประโยคลิ้งไปอีกบทความหนึ่งที่เป็นเรื่องนั้นโดยเฉพาะเลย
- Pillar Content คือ คอนเทนต์มีลักษณะสามารถโน้มน้าวจูงใจให้เกิดการตัดสินใจได้ คอนเทนต์มีคุณภาพผ่านการคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เช่น Content Promotion, Content Lifestyle, Content Entertain, ontent Realtime
- Cluster Content คือ คอนเทนต์เสริม หรือ Related Content อย่างเราอ่านบทความหนึ่งอยู่พอท้ายบทความจะมี Related Content บทความที่เกี่ยวข้อง เราจะใช้ Cluster Content เพื่อเขียนคอนเทนต์ที่จะขยายเรื่องอื่นเพิ่ม
- Meta descriptions คือ
- Organic Search คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากค้นหาปกติของผู้ใช้ Google โดยไม่ได้มาจากการซื้อสื่อโฆษณาใดๆ ผลการค้นหาแบบปกติทั่วไป เป็นธรรมชาติตามนิสัย
- Search Volume คือ จำนวนตัวเลขที่ชี้วัดคำหลักหรือคีย์เวิร์ดที่เราสนใจว่ามีการค้นหาต่อเดือน/ปี จำนวนเท่าไหร่ เพื่อตัดสินใจเลือกใช้คีย์เวิร์ดนั้นมาทำ SEO หรือ SEM โดย เครื่องมือที่จะวัดได้คือ Ahrefs, Semrush, Google Keyword Planner
- PBN คือ เครือข่ายบล็อกส่วนตัว (Private Blog Network) เป็นเว็บบล็อกบทความถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก เพื่อเป็นแบ็คลิงก์ให้กับเว็บหลักในการทำ SEO เพราะ การจะได้อันดับที่ดีขึ้น เว็บเราต้องลิ้งกับเว็บอื่นที่มีเนื้อหา หมวดหมู่ คล้ายๆกัน
- On-page SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ ทั้ง Content, Code, Title, URLs, etc ภายในเว็บให้เอื้อต่อการจัดอันดับ
- Off-page SEO คือ การสร้างปัจจัยภายนอกเว็บให้ลิ้งกลับเข้ามาหาเว็บเรา หรือ การทำให้เว็บอื่นพูดถึง อ้างอิ้ง ส่งผู้คนกลับเข้ามาหาเว็บเรา เช่น มีลิ้งเราใน Pantip ลิ้งในเว็บสำนักข่าวดังในประเทศไทย
- PageRank คือ “การจัดอันดับหน้า” ในที่นี้จะหมายถึงหน้า Page ที่เราสร้างขึ้น
- Ranking คือ “การจัดอันดับการค้นหา” ซึ่งในหน้าแรกของ Google มีทั้งหมด 10 เว็บ หมายถึง Ranking 10 อันดับ
- SERP คือ หน้าแสดงการอันดับของ Search Engine ย่อมาจาก (Search Engine Result Page) SERP จะมีตัวชี้วัดผลของ Keywords หลายตัว เพื่อช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ด SEO ได้
- Redirect คือ การส่งต่อหน้า Page เช่น เมื่อเข้าหน้า Landing Page แล้วให้ Redirect ไปหน้า Sale Page ปิดการขาย
- Search Intent คือ เจตนาการค้นหา หมายถึงจุดประสงค์ที่คนกำลังค้นหาคำตอบอยู่ คำๆเดียวกันแต่คำตอบที่อยากได้นั้นต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ค้นหาชื่อร้านอาหาร บางคนอยากได้เบอร์ อยากรู้ว่าปิดกี่โมง อยากรู้ว่ามีกี่สาขา ดังนั้นเราจึงออกแบบคำตอบให้คนเหล่านั้นมาหาเราในคำตอบที่เขาต้องการ
SEO มันอยู่ตรงไหน
เมื่อเราอยากรู้อะไรก็พิมพ์ลงไปใน Google Search แล้วกดค้นหา จะมีหน้าเว็บที่แสดงผลออกมา อันดับ 1-10 เว็บในหน้าแรกนั่นแหละครับคือผลของการค้นหาที่เราเรียกว่า SEO ใน 10 เว็บจะถูกครอบหัว-ท้าย ด้วย SEM ซึ่งด้านบนจะมี 4 Ads ด้านท้ายจะมี 3 Ads ของ Google Adwords ถ้าเราใช้ Search Engines ของเจ้าไหนก็จะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการนั้นจะมี อัลกอริทึม (Algorithm) การจัดอันดับอย่างไร
ทำความเข้าใจเพิ่ม
- ผลของการค้นหา SEO นั้นเราต้องไม่ Login เชื่อมอยู่กับ Google Bookmarks นะครับ เพราะว่ามันจะเป็นการช่วยดึงเว็บที่เราเข้าบ่อยๆมาให้แทนด้วยส่วนหนึ่ง ดังนั้นถ้าจะเช็ค SEO เราจึงนิยมใช้ incognito mode (โหมดไม่ระบุตัวตนแล้ว)
เอาอะไรมาวัดว่าติด SEO
การติดตามผลหรือวัดอันดับ Rankin นั้นมีหลายวิธีด้วยกัน แบบง่ายๆเลยทำด้วยตนเองไม่เสียค่าใช้จ่ายคือการเปิด Google แล้วพิมพ์ “Keywords SEO” ที่เรากำลังทำอันดับอยู่ และวิธีที่สอง คือ การใช้เครื่องมือจำพวก SaaS ติดตาม Tracking SEO Ranking เช่น Ahrefs, Semrush และอื่นๆ ผมจะ List มาให้ด้านล่างนี้นะครับ เรียงจาดดังๆ ไปหาที่ใช้ได้ดีคล้ายกัน
- Ahrefs
- Semrush
- Screaming frog
- Accuranker
เครื่องมือวิเคราะห์อันดับ
นอกจากจะมีเครื่องมือเอาไว้ติดตามอันดับแล้ว เรายังต้องพึ่งพาเครื่องมือประเภท Analytic เพื่อใช้ในการวิเคราะห์คนเข้าเว็บของเราว่าเขาสนใจอะไร อ่านหน้าไหน ค้นเจอเว็บเราด้วย Keywords ไหน เพื่อที่เราจะได้จัดการกับเนื้อหาและปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตรงกับ “Keywords” ที่ต้องการให้ค้นหาถูกต้อง เมื่อมีแต่คนค้นหาคำนั้นเข้ามาเราก็จะได้ขายสินค้า บริการ นั้นได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยเครื่องมือที่จำเป็นและต้องมี หรือ เรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อใช้วิเคราะห์ ดังนี้ครับ
- Google Search Console
- Google Analytics
- PageSpeed Insights
- AccuRanker
เครื่องมือที่ต้องมี
- Google My Business
- Google Keyword Planner
- Google Tag Manager
robots.txt คืออะไร
Robots.txt เทียบกับ meta robots เทียบกับ x-robots
ทำ SEO ไปทำไม
การทำ SEO ก็เพื่อจุดประสงค์เดียวคือให้คนค้นหาเราเจอ ไม่ว่าจะเจอ Website, Facebook Page, YouTube Channel เมื่อคนเจอสินค้าหรือทบริการของเรา นั้นทำให้คนสนใจ สอบถามเราเพิ่มขึ้น นำไปสู่การสร้างยอดขายในอนาคต
การทำ SEO นั้นไม่เสียค่าใช้จ่ายถ้าหากเรามีความรู้พื้นฐานและศึกษาเพิ่มเติมได้ เราก็ทำไปเรื่อยๆ ปรับไปเรื่อยๆ และติดตามผลการค้นหาตลอดเวลาจะทำให้เราไปถึงเป้าได้ไม่ยาก แต่ถ้าไม่มีความรู้เลยอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ วิธีต่อมาคือ จ้างเขาทำ SEO ให้ หรือถ้าเรามีงบประมาณจากยอดขายสินค้าที่ทำตลาดได้อยู่แล้ว เราก็ไปลงกับ SEM หรือ Google Adwords ได้เลย แล้วใช้เวลาไป Optimiz Ads แทนการมานั่งเสียเวลาทำ SEO นะครับ
ทำ SEO เองได้ไหม
การทำ SEO นั้นจะทำเองหรือจ้างทำก็ได้ จุดสำคัญอยู่ตรงที่ ถ้าเราทำเองเรามีความรู้มากแค่ไหน มีรายการลิสสิ่งที่ต้องทำทั้งหมดหรือยังและมีกำลังคนทำส่วนไหนบ้าง ทำได้สม่ำเสมอไหม แต่ถ้าเราจ้างทำก็จะช่วยลดระยะเวลาในการทำ SEO ให้สั้นลง เพราะเรามีคนที่มีความรู้ เชี่ยญชาญและมีประสบการณ์ลองถูกลองผิด ปรับเปลี่ยนกลวิธีตามการปรับออกันลิทึมของ Google ตลอดเวลา ทีมงานเหล่านี้จะช่วยเราได้มาก
แต่ถ้าธุรกิจเราเพิ่งริเริ่ม ยังไม่คาดหวังยอดขายโดยเร่งด่วนเร็ว เราสามารถเรียนรู้และค่อยๆ ทำ SEO ไปเรื่อยๆได้ แต่ควรศึกษาการทำ SEO ให้ลึกซึ้ง เพื่อที่จะได้ขีดเส้นตรงได้สมบูรณ์แบบ ไม่ต้องมานั่งแก้ทีหลัง
สิ่งสำคัญในการทำ SEO คือ Content ดังนั้นหากไม่มีความรู้เลย ให้เริ่มต้นจากการเขียนบทความลงในเว็บก่อน “เขียนในสิ่งที่คนอยากรู้” ไม่ใช่เขียนอวยตัวเองหรืออยากจะเล่า “แล้วคนจะค้นหาในสิ่งที่เขาอยากรู้” หลังจากนั้นเราค่อยมาปรับกลยุทธวิธีการให้ถูกหลังทีหลังได้ง่ายขึ้น
จ้างทำ SEO ดีไหม? ราคาแพงไหม
แน่นอนว่าการจ้างคนที่เขามีความชำนาญ เชี่ยวชาญ ย่อมดีกว่าแน่นอน ช่วยละระยะเวลาที่เราทำเองได้ดี แต่การจ้างทำเราต้องหาคนที่เขามีความถนัดในธุรกิจของเราด้วย โดยส่วนมากเราจะนัด Meeting เพื่อพูดคุยถึง Profile, Ref ของลูกค้าที่เขาทำจนประสบความสำเร็จแล้ว ทีนี้เหลือแค่ต้องตัดสินใจเรื่องใบเสนอราคาค่าทำ SEO ของเจ้าไหนเราจ่ายไหว
โดยปกติการจ้างทำ SEO ให้ได้ผลลัพธ์นั้นจะอยู่ที่ 4-6 เดือนในช่วงแรก บางเจ้าอาจจะอยากได้เงินจากคุณแบบมั่นคงหรือเหตุผลความยาก ง่ายของ Keywords ก็จะบอกว่า 1 ปี หรือ 12 เดือน
โดยราคาค่าทำ SEO ก็ประมาณ 15000 – 12000 บาท/เดือน ในราคานั้นจะระบุจำนวน Keywords ที่รับประกันอันดับว่าต้องติดหน้าแรก แต่จะอันดับที่เท่าไหร่นั้นไม่มีเจ้าไหนกล้ารับประกันอันดับ 1-10 ให้เราได้ เพราะการรับประกันว่าติดอันดับ 1 บรรทัดแรกนั้นเป็นการงานที่ยากมาก
จ้างเขาทำ SEO เลิกจ้างแล้วอันดับหาย
SEO สายขาว กับ SEO สายดำ คืออะไร
มีเครื่องมือทุ่นแรง SEO ไหม?
สื่อ / ธุรกิจ อะไรบ้างที่ทำ SEO ได้
จะเช็คอันดับเว็บเราได้ยัง
อันดับ SEO ใน Desktop กับ Mobile แยกกันเหรอ ?
SEO มีกี่ประเภท มีโครงสร้างไหม
ถ้าหากอยากให้สินค้าหรือบริการของเราติดอันดับการค้นหาโดยไม่ต้องเสียเงิน โดยการทำ SEO นั้น เรามีกลยุทธ์สำหรับการทำอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ
- On-page SEO
- Off-page SEO
On-page SEO คือ การปรับปรุงประสิทธิภาพภายในของเรา เช่น
- ถ้าเป็นเว็บไซต์ ก็ตั้งแต่ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ ชื่อรูปภาพ/คำอธิบายรูป เนื้อหาบทความ Keyword ของบทความ จุดประสงค์ของเนื้อหา หัวข้อเนื้อหา H1, H2,H3 คำถามชี้นำ ประโยชน์ที่คนอ่านได้รับ ชื่อลิ้งบทความ ลิ้งเชื่อมภายใน/ภายนอกเว็บ
- ถ้าเป็น eCommerce ก็ตั้งแต่หมวดหมู่สินค้า ชื่อสินค้า โมเดลรุ่น รายละเอียดโดยย่อ รายละเอียดหลัก Keywords สินค้า ยี้ห้อสินค้า ชื่อรูปภาพ/คำอธิบายรูป ชื่อลิ้งสินค้า ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
- ถ้าเป็น Facebook ก็รายละเอียดของโพสต์ เนื้อหา Keywords ของเนื้อหา
- ถ้าเป็น YouTube ก็คือ ชื่อคลิป รายละเอียดคลิป Hastag Keyword ของคลิป
Off-page SEO คือ ปัจจัยจากภายนอกที่ส่งผลให้อันดับดีขึ้น เช่น
- Back link Popularity
- Domain Level
- Domain Keywords usage
- User, Traffic Query data
- Social Metrics
- Page Level Link
SEO มีกี่สาย
ในวงการ การทำ SEO มักจะพูดกันบ่อยๆ และมักจะถามว่าทำ SEO สายอะไร เพราะว่าการทำให้เว็บติด SEO มีหลายวิธี ทั้งแบบขึ้นอันดับรวดเร็วและค่อยๆไต่อันดับ อีกทั้งเว็บบางอย่างมีเนื้อหาที่ไม่ได้อยู่ในหมวดที่สามารถเผยแพร่ได้อย่างถูกต้อง ในแวดวงการทำ SEO ก็เลยต้องแบ่งสายกันคล้ายๆ กับสายของเทควันโด เพื่อบงบอกเส้นทางเดินของตัวเอง ดังนี้
- ทำ SEO สายขาว หมายถึง การทำให้เว็บติดอันดับหน้าแรก อย่างถูกต้องตามหลัก Google และเป็นเว็บที่มีเนื้อหาเปิดเผยได้ทั่วไป เช่น ธุรกิจ SME, องค์กร, บริษัท, ทั้งสินค้าและบริการที่ถูกกฎหมาย
- ทำ SEO สายดำ หมายถึง การทำให้เว็บติดอันดับหน้าแรก ด้วยวิธี Hack SEO ทุกวิถีทาง ทั้งใช้ Bot เขียนบทความ สร้าง Backlink / DA / DR สร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บเพื่อหลอก Google ให้เว็บติดหน้าแรก จะดาร์กๆ หน่อย
- ทำ SEO สายเทา หมายถึง การทำให้เว็บติดอันดับหน้าแรก ด้วยวิธีการปั่น Keywords เพื่อให้ Google เชื่อว่าเรามีเนื้อหาตาม Keywords นั้น
ประเทศไทยใครเก่ง SEO
ผมขอแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันนะครับ คือ รับทำ SEO ในรูปแบบบริษัท กับ รับทำ SEO ในรูปแบบ Consultant หรือ Freelance สาเหตุเพราะว่าในรูปแบบบริษัทจะพยายามทำให้เว็บตัวเองติดหน้าแรกตำว่า “รับทำ SEO” เพื่อที่จะได้ลูกค้าจากคำค้นหานี้ และบริษัทก็รับทำ SEO ให้กับลูกค้าหลายๆธุรกิจ เพื่อนำเงินมาจ่ายพนักงานจำนวนมากในบริษัท ใช่ครับ! เขามีค่าใช้จ่ายต้นทุนที่สูงกว่า อีกประเภทที่เป็น Consultant หรือ Freelance ที่สามารถรับงานลูกค้าได้แค่ 1-3 บริษัทเท่านั้น มีข้อจำกัดเรื่องกำลังคน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดี ดังนั้นนอกจากหาแบบบริษัทแล้ว Consultant ที่รับทำทำ SEO ดังๆ มีชื่อเสียงหลายคนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกนะครับ
บริษัทรับทำ SEO
โดยผมเอาจากรายชื่อที่ติดหน้าแรกโดยใช้ “โหมดไม่ระบุตัวตน” เพื่อให้การจัดอันดับที่ถูกต้องมาให้นะครับ
- NerdOptimize (เนิร์ดออฟติไมซ์)
- AUN Thai (อาอุน ไทย)
- Pacy Media (เพซี่ มีเดีย)
- CZ Group (ซี แซด กรุ๊ป)
- Nipa (นิภา เทคโนโลยี)
- The white marketing (พี่หมีฮาร์ดเซลล์)
- Primal (ไพรมอล)
ที่ปรึกษา SEO Consult
- ลุงเต๋าเขย่าเว็บ
- SEO Rungwat🤘(นิว หลังวัด)
- SEO โบ๊ะบ๊ะสไตล์ by Chalakorn Berg
- นึกออกจะมาเพิ่มเรื่อยๆ
ทำ SEO เห็นผลเลยไหม ?
การทำ SEO นั้นมีขั้นตอนหลายอย่าง เดี๋ยวจะลิสให้ว่าคราวๆทำอะไรกัน แต่โดยรวมแล้วการทำ SEO นั้นใช้เวลาตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับอัตราการแข่งขันของธุรกิจ
มีอะไรเร็วกว่ามานั่งทำ SEO ไหม ?
การทำ SEO นั้นใช้ระยะเวลา 4 – 6 เดือนกว่าจะเริ่มเห็นผลติดหน้าแรก SEO บางคีย์เวิร์ดนั้นอาจใช้เวลาถึง 1 ปี เนื่องจากมีการแข่งขันสูงอย่างเช่น Keywords ในกลุ่มธุรกิจ คลีนิคความงาม, อาหารเสริม เป็นต้น ดังนั้นการที่จะขึ้นหน้าแรกเลยทันทีนั้นมีทางเดียวก คือ การซื้อโฆษณา Google Adwords เพราะเราสามารถสร้างโฆษณาขึ้นแสดงได้ในพริบตาเดียว แถมเราสามารถปรับแต่งแต่งคำ ประโยค ได้ตลาดเวลา กำหนด Keywords ที่ค้นพิมพ์ค้นหาแล้วเจอโฆษณาเราได้ทันที หรือแม้แต่บล็อกคำค้นหา (คีย์เวิร์ดเชิงลบ) เพื่อไม่ให้โฆษณาแสดงก็ได้เช่นกัน เพื่อโฟกัสคำที่ทำให้เกิด Convertion มากที่สุด
เครื่องมือทำ SEO
ในการทำ SEO นั้นเราต้องมีเครื่องมือในการวัดผลลัพธ์ต่างๆ เพื่อที่เราจะได้นำไปตัดสินใจ ปรับทิศทางการทำอันดับ SEO ได้ถูกต้อง หากเราทำไปเรื่อยๆโดยไม่มีเครื่องมือชีวัดผลลัพธ์เลย ก็จะทำให้เราไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ถูกต้องหรือย่างไร โดยเครื่องมือในการทำ SEO Tool นั้นมีการแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน On-Page Tool, Backlink Tools, Keyword Tool, SERP Tool
เครื่องมือ Keyword Research tool
- Google Trends
- Ahrefs
- SEMRush
- Moz
- Ubersuggest
- Mangools
- Ranktracker
- Seodity
- Brand Overflow
- SpyFu
- Woorank / woorank.com
- SEOQuake
- Siteliner
- Keywords Everywhere
- Serpstat
- Seo surfer
เครื่องมือ SERP Rank Tracker Tool
- Nozzle.io
- Screaming Frog / screamingfrog.co.uk
- AccuRanker / accuranker.com
- Pro Rank Tracker / proranktracker.com
- SEOcrawl / seocrawl.com
- KWFinder
- Rankwatch.com
- biq.cloud
- Sitechecker.pro
- RankAtom
- LowFruits
เครืองมือ Backlink Analysis Tools
- Majestic.com : SEO Backlink Checker / majestic.com
- seocrawl.com
เครื่องมือ Traffic Analytics
- Google Analytic /
- Google Search Console
- Similarweb /
- plerdy.com
เครื่องมือ Content SEO
- ContextMinds
WordPress สายใช้ปลั๊กอิน
- Squirrly SEO